บริการของเรา ATFIRST clinic

กดเลือกบริการที่คุณต้องการ เรายินดีให้คำปรึกษาฟรี 

ATFIRST clinic คลินิกสุขภาพเพศและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

คลินิกเอกชนที่ให้บริการครอบคลุมหลากหลายกว่า ดูแลครอบคลุมทั้ง Test(ตรวจ) Treat(รักษา) Prevention (ป้องกัน) ไม่จำกัดเพศหรืออายุ ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัว เก็บข้อมูลผู้รับบริการเป็นความลับ สร้างบรรยากาศบริการรูปแบบใหม่ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับความใส่ใจ ไว้วางใจ และสบายใจในการพูดคุยปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแล

“มั่นใจทุกสัมผัส เพื่อคนสำคัญของคุณ”

“มั่นใจในทุกการรักษา ดูแลคุณด้วยผู้เชี่ยวชาญ”

ตรวจเลือดและรักษาเอชไอวี

HIV test & treatment

การตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวี

การตรวจเลือดนั้นมีความสำคัญหากมีความเสี่ยง ในปัจจุบัน มีหลายคนที่ต้องการตรวจแล้วไม่กล้าปรึกษาใครจริงๆ จะเห็นได้ว่าการ ตรวจเลือดไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเสมอไป ดังนั้นหากต้องการตรวจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาก่อนตรวจและวางแผนการดูแลป้องกันความเสี่ยงได้
พูดคุยกับ แพทย์

เพื่อรักษาภูมิคุ้มกันของร่างกายไว้ ทุกวันนี้ยาถูกพัฒนามาไกลมาก ผลข้าง เคียงน้อยมาก กดเชื้อไวรัสได้ดี สูตรยารวมเป็นเม็ดเดียว (จากเดิมที่เคยแยก เป็นหลายๆ เม็ด) ทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อใช้ชีวิตได้ดีเทียบเท่าทุกคน หากตรวจ พบการติดเชื้อเอชไอวี ควรเข้ารับการรักษาและทานยาต้านไวรัส แพทย์จะให้ คำปรึกษาและแนะนำสูตรยาที่เหมาะกับแต่ละคน

at FIRST clinic

พร้อมให้คำปนึกษา เราพร้อมดูแลคุณ

การรักษา

ปัจจุบันการรักษาการติดเชื้อเอชไอวีแตกต่างจากอดีตไปมาก ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่มีการระบาด วงการแพทย์พยายามค้นคว้าและหาวิธีการรักษามาอย่างต่อเนื่อง

ปรึกษาเราตอนนี้

PEP/PrEP ยาป้องกันเอชไอวี

บริการให้คำปรึกษาในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีด้วยยาเป๊ปและยาเพร๊พ(PEP/PrEP) และตรวจเลือดก่อนเริ่มยา แนะนำวิธีการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยการทานยาที่ถูกวิธีและตรวจสุขภาพตามนัด

ยาเพร๊บ (PrEP)

What is PrEP? / ยาเพร๊พคืออะไร

ยาเพร็พ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อ HIV ก่อนมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ โดยต้องทานยาเป็นประจำสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อให้ตัวยาสามารถออกฤทธิ์ป้องกันเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยาเพร็พ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis) คือยาต้านไวรัสที่ใช้ในการป้องกันการติดเชื้อ HIV ก่อนที่จะมีการสัมผัสเชื้อ โดยจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอทุกวัน

จากผลการศึกษาทางการแพทย์พบว่า เมื่อรับประทานยาเพร็พอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ยาเพร็พมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HIV ได้มากกว่า 90% ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง และอาจสูงถึง 99% หากมีการรับประทานยาอย่างเคร่งครัด ไม่มีการลืม หรือเว้นช่วงการทานยา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาเพร็พ

  1. ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา: การรับประทานยาในเวลาเดิมทุกวันอย่างต่อเนื่องมีผลสำคัญต่อการออกฤทธิ์ของยา
  2. การเข้ารับการตรวจสุขภาพและติดตามผล: ผู้ใช้ยาเพร็พควรเข้ารับการตรวจเลือดและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่ายังคงปลอดภัยจากเชื้อ HIV และไม่มีผลข้างเคียงจากยา
  3. การใช้วิธีป้องกันอื่นร่วมด้วย: แม้ว่ายาเพร็พจะมีประสิทธิภาพสูง แต่ยังคงแนะนำให้ใช้ควบคู่กับการป้องกันอื่นๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ยาเพร็พไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ เช่น ซิฟิลิส หนองใน โรคเริม หรือโรคตับอักเสบบี จึงแนะนำให้ผู้ที่ทานยาเพร็พยังคงต้องใช้วิธีการป้องกันที่หลากหลายร่วมด้วย เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ยาเพร็พ (Pre-Exposure Prophylaxis - PrEP) คือยาป้องกันเชื้อ HIV ที่ใช้ก่อนมีความเสี่ยง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดโอกาสการติดเชื้อได้มากกว่า 90% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

บุคคลที่ควรพิจารณาทานยาเพร็พ ได้แก่:

  1. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีคู่นอนหลายคน
  2. ผู้ที่มีคู่นอนที่ทราบว่าติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาที่สม่ำเสมอ
  3. ผู้ที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน ซิฟิลิส ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
  4. ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  5. ผู้ที่มีความสัมพันธ์แบบเปิด (Open Relationship) หรือมีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย

หากคุณอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและตรวจสุขภาพก่อนเริ่มทานยาเพร็พ

การทานยาเพร็พ (Pre-Exposure Prophylaxis - PrEP) ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ต้องทานอย่างถูกวิธีดังนี้:

  1. รับประทานยาเพร็พวันละ 1 เม็ด ทุกวัน ในเวลาเดียวกันเป็นประจำ (Daily PrEP)
  2. สามารถทานยาพร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ แต่ควรเลือกเวลาที่สะดวกและสม่ำเสมอ
  3. หากลืมทานยาให้รีบทานทันทีที่นึกได้ แต่หากใกล้เวลาทานยาครั้งต่อไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปและกลับมาทานตามเวลาปกติ
  4. เข้ารับการตรวจเลือดและสุขภาพทุก 3 เดือน เพื่อติดตามประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้ยา

ยาเพร็พแบบ On Demand (ใช้เฉพาะเมื่อมีความเสี่ยง)

  • เป็นอีกวิธีหนึ่งในการทานยาเพร็พ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีความเสี่ยงบ่อยนัก
  • วิธีทาน: ทานยา 2 เม็ดก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-24 ชั่วโมง จากนั้นทานยาอีก 1 เม็ดหลังจาก 24 ชั่วโมง และทานอีก 1 เม็ดหลังจาก 48 ชั่วโมงจากการทานครั้งแรก

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ใช้ยาเพร็พร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน

ยาเพร็พ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis) โดยทั่วไปปลอดภัยต่อการใช้งาน แต่บางครั้งอาจมีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในช่วงเริ่มต้นของการทานยา ได้แก่:

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เวียนหัว หรือปวดศีรษะ
  • ท้องเสียหรือมีอาการไม่สบายท้อง
  • อ่อนเพลีย

อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่รุนแรงและมักจะหายไปเองภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์หลังจากเริ่มทานยาเพร็พ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรง หรืออาการดังกล่าวไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

ผลข้างเคียงระยะยาวของยาเพร็พ:

  • อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของไต จึงจำเป็นต้องมีการตรวจติดตามการทำงานของไตอย่างต่อเนื่อง
  • อาจมีผลต่อความหนาแน่นของกระดูกในระยะยาว (เกิดขึ้นได้น้อย)

ผลข้างเคียงที่รุนแรงพบได้น้อยมาก แต่มีความจำเป็นที่ผู้ใช้งานต้องติดตามสุขภาพอย่างใกล้ชิดด้วยการตรวจเลือดทุก 3 เดือน เพื่อประเมินการทำงานของไตและสภาพสุขภาพโดยรวม

ยาเพร็พ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HIV อย่างสูงเมื่อใช้อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ยาเพร็พไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน โรคเริม หรือโรคตับอักเสบบีและซี ดังนั้น การใช้ยาเพร็พควรใช้ร่วมกับการป้องกันอื่นๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าการทาน PrEP จะช่วยป้องกัน HIV ได้สูงถึง 99% แต่ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยเสมอ เพราะ PrEP ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ (STIs) ได้ เช่น:

🔹 ซิฟิลิส – มีแผลที่อวัยวะเพศหรือผื่นขึ้น
🔹 หนองใน / หนองในเทียม – ปัสสาวะแสบขัด, มีตกขาวผิดปกติ
🔹 เริมที่อวัยวะเพศ – ตุ่มน้ำใส เจ็บแสบ
🔹 ไวรัสตับอักเสบบีและซี – ติดต่อผ่านเลือดและเพศสัมพันธ์

💡 ข้อดีของการใช้ถุงยางร่วมกับ PrEP:
ป้องกัน HIV ได้เกือบ 100%
ลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิง

📌 สรุป: ถ้า ต้องการป้องกันทั้ง HIV และโรคอื่น ๆ แนะนำให้ ใช้ PrEP คู่กับถุงยางอนามัยเสมอ

หากคุณกำลังทานยาเพร็พ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis) และตัดสินใจว่าต้องการหยุดทานยา คุณสามารถทำได้โดยปลอดภัยด้วยขั้นตอนดังนี้:

  1. ปรึกษาแพทย์หรือด้านสุขภาพก่อนหยุดยา เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
  2. โดยทั่วไปสามารถหยุดยาได้ทันทีหากคุณมั่นใจว่าไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV อีกต่อไป
  3. ควรรับการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบสถานะเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ หลังจากหยุดยา
  4. หากคุณกลับมามีความเสี่ยงในการติดเชื้ออีกในอนาคต ควรกลับมาปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณากลับมาทานยาเพร็พอีกครั้ง

การหยุดยาสำหรับกลุ่มเฉพาะ:

  • ชายรักชาย (MSM): ควรรับการตรวจ HIV และติดตามผลอย่างสม่ำเสมอหลังหยุดยา โดยเฉพาะหากกลับมามีพฤติกรรมเสี่ยงในภายหลัง
  • ชายและหญิงที่มีคู่รักติดเชื้อ HIV: ต้องมั่นใจว่าคู่รักได้รับการรักษาที่เหมาะสมและควบคุมเชื้อ HIV ได้อย่างดีแล้วก่อนหยุดยาเพร็พ
  • ผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีความเสี่ยงต่อแม่และลูก

ข้อสำคัญคือ การหยุดยาเพร็พควรเกิดขึ้นหลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบและได้รับคำปรึกษาจากแพทย์เสมอ

ก่อนที่จะเริ่มรับประทานยาเพร็พ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis) คุณจำเป็นต้องตรวจเลือดก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีสุขภาพที่เหมาะสมและปลอดภัยในการใช้ยาเพร็พ โดยการตรวจเลือดที่แนะนำก่อนรับยาเพร็พ ได้แก่:

  1. การตรวจหาเชื้อ HIV เพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังไม่มีการติดเชื้อ HIV ก่อนเริ่มยา
  2. การตรวจการทำงานของไต เพื่อประเมินว่ายาเพร็พจะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพไตของคุณ
  3. การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน โรคตับอักเสบบี

โทษของการกินยาเพร็พโดยไม่ได้รับการตรวจเลือด:

  • หากคุณมีเชื้อ HIV อยู่แล้วโดยไม่ทราบ และเริ่มทานยาเพร็พ อาจทำให้เชื้อดื้อยาซึ่งทำให้การรักษาในอนาคตยากขึ้น
  • อาจมีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อไต หากไตทำงานไม่ปกติโดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยล่วงหน้า

ทั้งนี้ หลังจากเริ่มยาเพร็พแล้ว ควรเข้ารับการตรวจเลือดและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อติดตามประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา

แอ๊ทเฟิร์สคลินิกให้บริการยาเพร็พ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis) อย่างครบวงจร เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง โดยบริการของเรารวมถึง:

  1. ให้คำปรึกษาและประเมินความเสี่ยงโดยแพทย์
  2. ตรวจเลือดก่อนเริ่มยาเพร็พ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีสุขภาพที่เหมาะสม
  3. ติดตามผลและตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน
  4. จ่ายยาตามคำแนะนำแพทย์ ด้วยความสะดวกและเป็นส่วนตัว
  5. มีนักเทคนิคการแพทย์ให้บริการร่วมด้วย เพื่อการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำและมีคุณภาพ
  6. มีการให้บริการด้วยระบบนิรนาม เป็นส่วนตัวและเป็นความลับ

ที่แอ๊ทเฟิร์สคลินิก เรามุ่งมั่นให้บริการที่สะดวก เป็นมิตร และเป็นความลับ เพื่อให้ทุกท่านสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมั่นใจ

💰 ค่าใช้จ่าย PrEP ที่ At First Clinic

ราคาค่าบริการอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและประเภทของ PrEP ที่เลือก สามารถสอบถามราคาล่าสุดได้ทาง Line OA

📍 ที่ตั้ง และการติดต่อ

📌 Facebook: At First Clinic
📌 Line OA: @atfirstclinicbkk

💡 หากต้องการเริ่ม PrEP อย่างปลอดภัย สามารถเข้ารับบริการที่ At First Clinic ได้เลย!

ยาเป๊ป (PEP)

ยาเป๊ปคืออะไร

ยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) คือยาต้านไวรัส HIV ที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อหลังจากมีความเสี่ยงหรือสัมผัสเชื้อมาแล้ว เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ถุงยางอนามัยแตก หรือโดนเข็มตำที่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อ HIV ยาเป๊ปจะต้องเริ่มรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ และต้องทานติดต่อกันต่อเนื่อง 28 วัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการติดเชื้อ หากมีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าได้รับเชื้อ HIV ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับคำปรึกษาและพิจารณาการรับยาเป๊ป

ยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HIV หากเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีความเสี่ยง โดยยิ่งรับประทานยาเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HIV มากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วประสิทธิภาพของยาเป๊ปอยู่ที่ประมาณ 80-90% เมื่อรับประทานถูกต้องและต่อเนื่องครบ 28 วัน

ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของยาเป๊ป:

  1. ระยะเวลาที่เริ่มรับประทานยาหลังมีความเสี่ยง (ควรเริ่มให้เร็วที่สุด)
  2. การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องครบ 28 วัน
  3. ความเสี่ยงที่ได้รับสัมผัสเชื้อ เช่น ระดับของการสัมผัสและปริมาณเชื้อที่ได้รับ

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  1. หลังจากรับยาเป๊ปแล้วควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อติดตามผลที่ 1 เดือน และ 3 เดือน
  2. ยาเป๊ปไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ ควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีที่สุดยังคงเป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

ยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ภายใน 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา เช่น:

  1. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย หรือถุงยางอนามัยแตกขณะมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีโอกาสเป็นผู้ติดเชื้อ HIV
  2. ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์
  3. บุคลากรทางการแพทย์หรือบุคคลทั่วไปที่ถูกเข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อ HIV ตำหรือบาด
  4. ผู้ที่สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งที่มีความเสี่ยงจากผู้ติดเชื้อ HIV ผ่านบาดแผลหรือเยื่อบุโดยตรง

หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเริ่มทานยาเป๊ปโดยเร็วที่สุด

ยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) ควรเริ่มรับประทานเร็วที่สุดภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โดยยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อยิ่งสูงขึ้น หากเกินช่วงเวลา 72 ชั่วโมงไปแล้ว ประสิทธิภาพของยาเป๊ปจะลดลงอย่างมากหรืออาจไม่ได้ผลเลย ดังนั้น หากมีความเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับยาเป๊ปโดยเร็วที่สุด

ยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน (4 สัปดาห์) โดยจำเป็นต้องกินยาให้ครบทุกวันและตรงเวลา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการติดเชื้อ HIV หลังจากมีความเสี่ยง ควรทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แม้ว่าจะไม่มีอาการใดๆ ก็ตาม

การหยุดทานยาก่อนครบกำหนดหรือไม่ทานตรงเวลาจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงและอาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ หากมีปัญหาหรือผลข้างเคียงขณะทานยา ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

ยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่บางรายอาจมีอาการข้างเคียงได้ โดยส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อยและมักหายไปเองภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ อาการข้างเคียงที่อาจพบได้แก่:

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เวียนศีรษะ ปวดหัว
  • อ่อนเพลีย
  • ท้องเสียหรือปวดท้อง

ในกรณีที่อาการข้างเคียงรุนแรงหรือมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ผื่นคันรุนแรง หรือมีไข้สูง ควรหยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที

ยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะ และไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม หรือตับอักเสบบี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตระหนักอย่างยิ่ง การใช้ยาเป๊ปจึงควรควบคู่ไปกับการป้องกันอื่นๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่ยาเป๊ปไม่สามารถป้องกันได้

หลังจากที่คุณรับประทานยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) ครบกำหนด 28 วันแล้ว ควรดำเนินการดังนี้:

  1. เข้ารับการตรวจเลือดเพื่อตรวจเชื้อ HIV ที่ 1 เดือน และอีกครั้งที่ 3 เดือน หลังจากรับประทานยาเป๊ปครบ เพื่อยืนยันผล (มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจเลือดซ้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณไม่ได้รับเชื้อ HIV)
  2. ระหว่างรอผลการตรวจ ควรปฏิบัติตามแนวทางการป้องกัน HIV อย่างเคร่งครัด เช่น ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
  3. หากมีความเสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อ HIV อีกในอนาคต ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการป้องกันด้วยยาเพร็พ (PrEP)

การตรวจติดตามผลหลังทานยาเป๊ปเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้มั่นใจว่าคุณปลอดภัยจากการติดเชื้อ HIV อย่างแท้จริง

ก่อนเริ่มยาเป๊ป (PEP - Post-Exposure Prophylaxis) แพทย์จะพิจารณาให้มีการตรวจเลือดเบื้องต้นก่อน เพื่อประเมินสภาพร่างกายและสถานะการติดเชื้อ HIV ของผู้ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะการตรวจเชื้อ HIV เพื่อให้แน่ใจว่ายังไม่มีการติดเชื้อมาก่อน เนื่องจากยาเป๊ปมีไว้สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ HIV เท่านั้น หากคุณมีเชื้อ HIV อยู่แล้วโดยไม่ทราบ และรับประทานยาเป๊ป อาจทำให้เชื้อไวรัส HIV ดื้อยา ซึ่งจะทำให้การรักษาในอนาคตยากขึ้นและซับซ้อนมากขึ้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาตรวจสุขภาพเพิ่มเติม เช่น การทำงานของตับและไต เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาตลอดระยะเวลา 28 วันของการทานยาเป๊ป

แอ๊ทเฟิร์สคลินิก ให้บริการยาเป๊ป (PEP-Post-Exposure Prophylaxis) อย่างครบวงจรสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โดยมีแพทย์ให้คำปรึกษา พร้อมตรวจเลือดและประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด รวดเร็ว ทันเวลา และเป็นความลับสูงสุด

บริการของเรามุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและการรักษาข้อมูลของคุณเป็นความลับที่สุด ด้วยระบบการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัย ห้องให้บริการที่เป็นส่วนตัว และบุคลากรที่ได้รับการอบรมอย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณรู้สึกมั่นใจและสบายใจในการมาใช้บริการ

หากคุณมีความเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ที่อาจทำให้ติดเชื้อ HIV อย่ารอช้า รีบเข้ารับคำปรึกษาที่แอ๊ทเฟิร์สคลินิกโดยเร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HIV สูงสุด

ที่แอ๊ทเฟิร์สคลินิก เราพร้อมดูแลคุณอย่างเป็นมิตร เข้าใจ และให้บริการอย่างมืออาชีพ มาให้เราดูแลสุขภาพของคุณด้วยกัน

พูดคุยกับ แพทย์ โทรหาเรา

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (แต่ละโรคจะกล่าวถึงอาการ+การตรวจ+การรักษา)

บริการให้คำปรึกษาสำหรับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและยาต้านไวรัส มีแพทย์ให้คำแนะนำและวางแผนการรักษา
ติดตามอาการ รวมไปถึงการป้องกัน

พูดคุยกับ แพทย์ โทรหาเรา

เอชไอวี (HIV - Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เชื่อกันว่าไวรัสชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากไวรัสที่พบในลิงและมี การกลายพันธุ์จนสามารถแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ได้

การติดเชื้อเอชไอวี เอชไอวีสามารถติดเชื้อผ่านทาง:

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน (ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก)
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ
  • จากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
  • การสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อผ่านบาดแผลหรือเยื่อบุ

อาการของเอชไอวี ระยะแรกอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นขึ้น และอ่อนเพลีย ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายไปเองในเวลาสั้นๆ หลังจากนั้น ผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการเป็นเวลาหลายปี

การตรวจเอชไอวี การตรวจเลือดสามารถตรวจหาแอนติบอดีหรือสารพันธุกรรมของไวรัสเอชไอวีได้ หากมีความเสี่ยงควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง

การรักษาเอชไอวี แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy - ART) สามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้ดี ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาวได้

ผลของการไม่เข้ารับการรักษา หากไม่ได้รับการรักษา เอชไอวีจะทำลายภูมิคุ้มกันจนเข้าสู่ภาวะเอดส์ (AIDS) ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum และสามารถรักษาให้หายขาดได้หากได้รับการตรวจและรักษาแต่เนิ่นๆ

การติดเชื้อซิฟิลิส ซิฟิลิสสามารถติดเชื้อได้ผ่านทาง:

  • เพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก
  • การสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ติดเชื้อ
  • จากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์หรือการคลอด

อาการของซิฟิลิส โรคซิฟิลิสแบ่งอาการออกเป็นระยะๆ:

  • ระยะที่ 1: มีแผลริมแข็งบริเวณอวัยวะเพศหรือรอบๆ แผลนี้ไม่เจ็บและมักหายเองได้ภายใน 3-6 สัปดาห์
  • ระยะที่ 2: ผื่นขึ้นทั่วตัว มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต อ่อนเพลีย ซึ่งอาการจะหายไปได้เอง แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย
  • ระยะที่ 3: หากไม่ได้รับการรักษา อาจมีอาการรุนแรง เช่น ระบบประสาทเสียหาย หัวใจเสียหาย และอวัยวะต่างๆ ถูกทำลาย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือเสียชีวิตได้

การตรวจซิฟิลิส การตรวจซิฟิลิสสามารถทำได้โดยการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรีย หากมีความเสี่ยง ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง

การรักษาซิฟิลิส ซิฟิลิสสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ โดยการรักษาจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อได้รับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของโรค

ความสำคัญของการรักษา การไม่ได้รับการรักษาซิฟิลิสอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างถาวรต่อระบบประสาท หัวใจ และอวัยวะสำคัญอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นควรรีบเข้ารับการตรวจและรักษาทันทีที่มีอาการหรือความเสี่ยง

ใครควรตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บ้าง

  1. เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  2. มีคู่นอนหลายคนหรือมีความ สัมพันธ์แบบมีคู่นอนมากกว่า หนึ่งคน (polygamy)
  3. เคยใช้สารเสพติดขณะมีเพศสัมพันธ์
  4. เคยใช้เซ็กซ์ทอยร่วมกับผู้อื่น
  5. ถูกข่มขืนกระทำชำเรา
  6. มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ ท้องน้อย ทวารหนัก
  7. อื่นๆ เช่น ต้องการบริจาคเลือด ตรวจสุขภาพหลังเลิกกับแฟน ตรวจสุขภาพก่อนคบแฟนใหม่ วางแผนแต่งงานหรือมีบุตร

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส เริม เอชไอวี หูดหงอนไก่ หูดข้าวสุก พยาธิช่องคลอด แผลริมอ่อน ไวรัสตับอักเสบเอ/บี/ซี เป็นต้น

พูดคุยกับ แพทย์ โทรหาเรา

การฉีดวัคซีน Vaccination

บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Flu vaccine)
  • วัคซีนปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine)
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A vaccine)
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B vaccine)
  • วัคซีนเอชพีวี 4 และ 9 สายพันธุ์ (HPV vaccine)
  • วัคซีนงูสวัด (Shingles vaccine)
พูดคุยกับ แพทย์ โทรหาเรา

สุขภาพเพศชาย

Men’s health

เรียนรู้เพิ่มเติมตามหัวข้อที่ตรงกับอาการของคุณ

พูดคุยกับ แพทย์ โทรหาเรา

การเสื่อมสมรรถภาพ หรือ นกเขาไม่ขัน (Erectile dysfunction; ED)

เป็นภาวะที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวไม่เต็มที่ เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงปัญหา สุขภาพของร่างกาย พบได้ในคนที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ส่งผลต่อการเสื่อมของหลอดเลือดทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงน้องชายได้ไม่ดีพอ นอกจากนี้อาจเกิดจากภาวะความเครียดสะสมและอาจส่งผลต่อปัญหาชีวิตคู่ตามมาได้ การรักษามีหลายวิธี เช่น การใช้ยา การทำ shockwave therapy เป็นต้น

 

การหลั่งเร็ว หรือ ล่มปากอ่าว (Premature ejaculation; PE)

เป็นภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการหลั่งน้ำอสุจิได้ก่อนถึงจุดสุดยอด ความรุนแรงของ แต่ละคนจะมีความแตกต่างกันไป เช่น อาจมีการหลั่งก่อนมีการสอดใส่ หรือ อาจมี การหลั่งหลังจากที่สอดใส่ได้ไม่นาน ทำให้ถึงจุดสุดยอดก่อนคู่ของเรา เกิดปัญหา ความสัมพันธ์ตามมาได้ การรักษามีหลายวิธี เช่น การกินยา การใช้ยาชา การใช้ ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ เป็นต้น.

เทสโทสเตอโรน (Testosterone)

ฮอร์โมนเพศชายที่บ่งบอกถึงภาวะสุขภาพที่ดี มีความสำคัญต่อการทำงานหลายๆ อวัยวะในร่างกาย เช่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกระดูก ความต้อง การทางเพศ การสร้างเสปิร์ม แต่ในบางครั้งอาจมีปัญหาสุขภาพที่ทำให้มีภาวะ เทสโทสเตอโรนต่ำได้ เช่น เฉื่อยชา คิดช้า อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยเพลียง่าย ไขมัน สะสม ผมบาง ความต้องการทางเพศลดลง องคชาตไม่แข็งตัว เป็นต้น ดังนั้นการตรวจ ฮอร์โมนจึงไม่ควรมองข้ามในการดูแลสุขภาพเพศชาย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexual transmitted disease; STD)

เป็นอีกประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และสุขภาพจิตได้ บางคน อาจมีคู่นอนหลายคน บางคนเลิกกับแฟนเก่าแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น มีแผลที่อวัยวะ เพศ มีปัสสาวะแสบขัด ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ การตรวจคัดกรองโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้

สุขภาพเพศหญิง WOMen’s health

ตรวจคัดกรองเซลล์มะเร็งปากมดลูก (Thin prep PAP smear)

ปัจจุบันมะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของผู้หญิงที่พบบ่อยพอๆ กับมะเร็งเต้านม บ่อยครั้งที่เรามองข้ามการตรวจภายใน แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีปัญหาเงียบซ่อนอยู่

บางคนอาจเป็นหูดหงอนไก่ก็ได้เนื่องจากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV เหมือนกัน ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต และตามมาเป็นปัญหาความสัมพันธ์หรือชีวิตคู่ได้

การตรวจตั้งแต่เนิ่นๆจึงเป็นทางออกที่ดีในการดูแลสุขภาพเพศของทุกคน

ตรวจคัดกรองเซลล์มะเร็งปากมดลูก (Thin prep PAP smear)

เป็นอีกประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และสุขภาพจิตได้ บางคนอาจมีความเสี่ยงมีคู่นอนหลายคน เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยาง

อนามัย บางคนเลิกกับแฟนเก่าแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาวผิดปกติ มีปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ

การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้